เทศน์พระ

ทำมา

๒๓ ต.ค. ๒๕๕๗

 

ทำมา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งสติแล้วฟังธรรม ธรรมะ เห็นไหม เราเป็นคนเหมือนกัน พระมาจากคน ในเมื่อคนเหมือนกันทำไมจะต้องฟัง ฟังเพราะประสบการณ์ไง ฟังเพราะ เห็นไหม คนเหมือนกัน คนไม่เท่ากัน มันไม่เท่ากัน มันไม่เท่ากันวัดจากไหน

ถ้าวัดจากทิฏฐิมานะของเรา เห็นไหม เราว่าเราสูงส่ง เราสูงส่งเพราะเรามีความองอาจกล้าหาญ เรามีความองอาจกล้าหาญในใจของเรา เราว่าเราสูงส่ง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบ เห็นไหม มนุสสเดรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสสเทโว มนุษย์เดรัจฉาน มนุษย์เปรต มนุษย์เทวดา แล้วมันต่างกันตรงไหน มันต่างกันตรงไหนว่ามนุษย์เหมือนกันทำไมเขาเป็นเทวดา มนุษย์เหมือนกันทำไมเป็นเดรัจฉาน มนุษย์เท่ากันแล้วมันต่างกันตรงไหน ทำไมต้องฟังธรรม

ฟังธรรมจากคนที่มีคุณธรรมในหัวใจไง เพราะคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ ในหัวใจมันเร่าร้อนมาก่อน มันไม่มีจิตใจดวงไหนหรอกที่เกิดมาแล้วมันจะมีคุณธรรมมาเลย มันไม่มีหรอก สิ่งที่มี เห็นไหม เขาดัดแปลงมา เขาดัดแปลงมา พระโพธิสัตว์เขาทำของเขามา เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา เพราะเขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา เวลาตกทุกข์ได้ยาก เห็นไหม เวลาตกทุกข์ได้ยากบุญกุศลมันก็จะรองรับ บุญกุศลรองรับนี่มันผ่านไปได้ มันผ่านเหตุวิกฤติเหตุการณ์อย่างนั้นไปได้

ถ้าเหตุผ่านไปได้นะผ่านไปทำไม ผ่านไปไว้มีโอกาสทำคุณงามความดีต่อไปไง ถ้าคุณงามความดีต่อไป เห็นไหม สิ่งที่มันทำมา ทำมาก็เป็นจริตเป็นนิสัย ถ้าเป็นจริตเป็นนิสัย เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นคุณสมบัติของเรา ถ้าเป็นคุณสมบัติของเรา เรามีสติมีปัญญานะ

คนถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาบางคนเขาประชดชีวิตของเขา เห็นไหม ชีวิตเขาดีๆ เพราะความคิดของเขากิเลสมันมาครอบงำ เห็นไหม ประชดชีวิต ทำตัวเองจนตัวเองมีปัญหาไป ถ้ามีปัญหาไปนะ แล้วเรามาคิดได้ระลึกได้ย้อนหลังมันเสียใจไหม ถ้าคิดได้นะ ถ้าคิดไม่ได้ล่ะ ถ้าคิดไม่ได้มันก็ลงต่ำไปเรื่อยไง เห็นไหม ฟังธรรมๆ เพราะเหตุนี้ เพราะความคิดของเรา เราว่าเราคิดถูกทั้งนั้น

คนก็ว่าเราคิดถูก เราคิดดี เราทำความดี เพราะเรารักตัวเราเองไง แต่เราไม่เข้าใจและไม่มีประสบการณ์ ไม่มีประสบการณ์ว่าสิ่งที่คิดๆ อยู่อะไรมันพาคิด สิ่งที่พาคิดไง เห็นไหม เพราะสิ่งนี้มันพาคิดเราถึงได้เกิดทิฏฐิมานะ แล้วเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมา นี่มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเขาต้องมีเหตุผลรองรับสิ ทำไมถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิมาก่อน เพราะความคิดผิดๆ มาก่อน แล้วความคิดมันแก้ไขของมันก่อน

ถ้ามันแก้ไข พอมันเห็นโทษขึ้นมา โอ้โห มัน... เวลาถ้าเป็นตัวตนเราเองนะ มันเกิดธรรมสังเวช เวลามันสังเวชนะมันสังเวชใจ ถ้ามันสังเวชใจทำไมเราทำได้ขนาดนี้ ทำไมทำได้ขนาดนี้ เวลามันคิดได้ แต่ถ้ามันคิดไม่ได้มันจะทำมากไปกว่านี้ ถ้าทำมากไปกว่านี้มันก็ทำให้จิตใจต่ำไปเรื่อย ถ้าจิตใจต่ำไปเรื่อย เวลาจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดในนรกอเวจี เห็นไหม เวลาเกิดในนรกอเวจีมันมีแต่ความทุกข์ มันความร้อนน่ะ แล้วความทุกข์ความร้อน เวลาคนตายไป ยมบาลจะถามเลยว่า “เคยเห็นธรรมะไหม เคยได้ฟังธรรมไหม” ไม่เคยๆๆ ไม่เคยทั้งนั้น ว่าไม่เคย

ถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็มีธรรมใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสุญกัปมันไม่มีธรรมะมันจะเอาอะไรไปฟังธรรม แต่ยมบาลเขาก็ถาม

“เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายไหม”

“เห็น” นั่นแหละธรรม การเวียนว่ายตายเกิดนั่นน่ะธรรม เราก็เห็นคนอื่นเวียนว่ายตายเกิด ตัวเราเองเราก็เวียนว่ายตายเกิด แต่ทำไมมันไม่มีสติปัญญายั้งคิดเลยล่ะ ถ้าไม่มีสติปัญญายั้งคิดเลย เห็นไหม มันเห็นแก่ปากแก่ท้องไง ถ้าเห็นแก่ปากแก่ท้องนี่ต้องทำมาหากิน ว่าต้องทำมาหากิน ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย นี่มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์

มันก็จริง มันก็ใช่อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าคนมีจิตใจที่เขาสูงส่ง เช่น พระเรา มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ว่าเราฉันมื้อเดียว ทุกคนก็บอกว่าพระฉันมื้อเดียว แล้วคิดดูบวชตั้งแต่เณรทั้งชีวิตกินข้าววันละมื้อ โลกเขากินข้าววันละกี่มื้อ พระกินข้าววันละมื้อ กินข้าววันละมื้อยังไม่พอนะ ยังอดอาหารอีก ยังผ่อนอาหารอีก แล้วผ่อนทำไม คนเราถ้ามันกินอิ่มนอนอุ่นมันก็มีความสุขสิ แล้วเราจะหาความสุขได้ยังไงจากการหิวโหย จะหาความสุขมาได้ยังไงกับสิ่งที่มันขาดแคลน

มันขาดแคลนในมุมมองของเขาไง ในมุมมองของโลก เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย เขากินสามมื้อ เขาอยู่ของเขา ปัจจัยของเขาก็ต้องสมบูรณ์ของเขา ไอ้เรามื้อเดียว แล้วยังเวลาไปวิเวก เราไปอยู่ป่าอยู่เขาของเรา มันบอกว่ามันจะมีความสุขได้ยังไง

มันมีความสุข มันมีความความสุข มันจิตวิเวกไง ถ้าจิตวิเวก เห็นไหม ในปัจจุบันนี้ทางโลกเขาเวลาเขาไปเที่ยวกัน เขาไปพักผ่อน เขาไปพักผ่อนกับธรรมชาตินั่น ไปภูเขา ไปชายทะเล ก็อากาศบริสุทธิ์ไง

แล้วของเราอยู่ของเราอย่างนั้นแล้ว เห็นไหม สิ่งที่เป็นสถานที่วิเวก แล้วกายวิเวก ถ้ากายวิเวก จิตวิเวก ถ้ามันวิเวกได้จริง เห็นไหม ถ้ามันวิเวกได้จริงมันเพราะอะไรล่ะ เพราะมันต้องมีสติมีปัญญา เวลาเราเกิดอุปสรรคเราเกิดสิ่งใดขึ้นมา เราน้อยเนื้อต่ำใจนะ นี่เราทำมา เราทำมาทั้งนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดี คุณงามความดี ความดีจากไหน ถ้ามีสติมันกั้นนะ หลวงตาท่านบอกว่า “มีสติสามารถกั้นคลื่นทะเลได้ ฝ่ามือนี้สามารถกั้นคลื่นทะเลได้”

สติ สติ คนว่ามีสติ ถ้ามีสติขึ้นมามันยั้งคิด ถ้ามันยั้งคิดขึ้นมามันจะตั้งสติขึ้นมา ถ้ามีสติขึ้นมามันเกิดสติ ถ้าเกิดสติขึ้นมาสิ่งที่มันจะทำด้วยความฉุนเฉียว จะทำด้วยความเห็นแก่ตัว จะทำสิ่งใด มันไม่ทำแล้ว มันไม่ทำ มันพัฒนา สิ่งที่มันเป็นมาอย่างนี้เพราะทำมา เราทำมา เห็นไหม เพราะเราสร้างเวรสร้างกรรมมา มันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ดูสิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาทำมาทั้งนั้น มันต้องทำมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมๆ เชื่อกรรม บอกว่าเชื่อกรรมเป็นลัทธิยอมจำนน เชื่อกรรมเพราะว่าเราเป็นผู้ที่ไม่กล้าเผชิญกับความจริงถึงบอกว่าเชื่อกรรม นั่นความคิดของเขา

แต่ความคิดของเรา ก็มันทำมา เราทำของเรามามันถึงเกิดสภาวการณ์แบบนี้ ถ้าทำมาขึ้นมา ทำมาแล้วเราแก้ไขสิ ถ้าเราทำสิ่งใดมา เห็นไหม ก็เราทำมา เราจะไปเรียกร้องความเห็นใจจากใคร ถ้าเรียกร้องความเห็นใจจากคนที่มีบุญไง คนที่มีบุญ เห็นไหม คนที่มีบุญมีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดก็มีคนช่วยเหลือเจือจาน แต่ถ้าเราทำของเรามา แล้วมันขาดตกบกพร่องอย่างใดนะ มันก็แค่นั้น ก็เราทำของเรามาอย่างนี้ เราก็พอใจในสถานะของเราอย่างนี้ ถ้าพอใจแล้วจิตใจมันไม่หวั่นไหวเลย เห็นไหม ถ้าจิตใจมันไม่หวั่นไหว สิ่งที่ขาดแคลน สิ่งที่มันกระทบกระเทือนในหัวใจ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้ว ถ้าของที่เห็นมันของเล็กน้อย มันแก้ไขได้ง่ายแล้ว

แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอ จิตใจเราเรียกร้อง จิตใจเราต้องการให้เสมอคนอื่นเขา แต่เราไม่ได้ทำของเรามา เราอยากได้สิ่งนั้น อยากให้เป็นแบบเขาอย่างนั้น แล้วเราไม่ได้ทำของเรามา เห็นไหม จิตใจมันขาดตกบกพร่อง จิตใจมันเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น มันมีแต่ความทุกข์ ทำความดีมามหาศาลเลย เราก็ทำความดีของเรามา เราทำคุณงามความดีของเรา ทำไมความดีมันไม่ให้ผลกับเราล่ะ

นี่กรรมใหม่ กรรมใหม่เพราะอะไร เพราะปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบ พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการเสียสละ สอนเรื่องของน้ำใจ ถ้าสอนเรื่องการเสียสละ เรื่องน้ำใจ ทำทำไม ก็ทำเพื่อตัวเองนั่นน่ะ ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อตัวเอง

กลิ่นของศีลหอมทวนลม ถ้าพระที่มีคุณธรรม มีศีล มีธรรม มันหอมทวนลมไป กลิ่นของมันหอมทวนลมไปได้ยังไง มันต้องไปตามกระแสลมสิ มันหอมทวนลมได้ยังไง ก็ปากคนไง ก็ความเชื่อถือของคนไง เพราะความเชื่อถือของคน เห็นไหม

เวลาทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรมนุษย์มันมีค่าที่สุด มันมีค่าที่สุดเพราะสิ่งใด สิ่งก่อสร้างในโลกนี้เกิดมาจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งนั้น มนุษย์เป็นคนทำ แล้วถ้ามนุษย์ทำขึ้นมา เห็นไหม มโนกรรม เขามีมโนกรรม เขามีเจตนาที่ดี เขามีสิ่งต่างๆ ที่ดี ทำสิ่งที่คุณงามความดีมา เห็นไหม มโนกรรม แล้วมโนกรรมมาจากไหน มันก็มาจากจิตไง มาจากภวาสวะ มาจากภพ จิตใจที่ดี จิตใจที่ดีทำสิ่งใดก็ทำที่ดีงาม

อันนี้เป็นวัตถุนะ เห็นไหม โลกเขาบอกโลกเจริญๆ ทุกคนว่าโลกเจริญ คุณภาพชีวิตๆ แล้วพอคุณภาพชีวิต เพราะความเจริญนั่นแหละ ความเจริญเพราะเกิดจากผู้ที่มีสติมีปัญญา เขาค้นคว้าสิ่งที่มาเพื่อประโยชน์กับมนุษย์ เพื่อความเป็นอยู่ แล้วเราก็อาศัยเขา อาศัยสิ่งนั้น อาศัยจนอ่อนแอไง เดี๋ยวนี้หุงข้าวกันไม่เป็น ทุกคนกดปุ่ม แล้วลืมกดปุ่มก็ไม่ได้กินทั้งนั้น แต่สมัยโบราณเรามานะหุงข้าวเช็ดน้ำ ทุกคนก็มีวิชา มีการหุงหา เขาทำของเขาเป็น จะอยู่ที่ไหนก็ทำได้

เราธุดงค์ไปในป่า เวลาโยมเขาไปด้วยเขาหลามข้าวให้กิน เขาตัดกระบอก เขาเอาน้ำใส่ เอาข้าวใส่ เขาหลามให้สุกหมด ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย สามารถดำรงชีวิตในป่าได้ นั่นคืออะไรล่ะ นั่นคือประสบการณ์ชีวิตของเขาไง ถ้ามนุษย์ทุกคนมีสติมีปัญญาสามารถรักษาตัวเองได้ สามารถทำได้ มันจะไปอาศัยใคร นี่คุณภาพชีวิต มันคุณภาพชีวิต คุณภาพที่สะดวกสบายต่างๆ เวลาไฟฟ้าไม่มีเป็นง่อยกันไปหมดเลย

นี้พูดถึงโลกเจริญ แต่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราจะให้เจริญในหัวใจนะ เราทำคุณงามความดีของเรา เก็บเล็กผสมน้อย หลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร ท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ท่านทำตัวเป็นแบบอย่าง เห็นไหม ทำตัวเป็นแบบอย่าง เพราะพระอรหันต์มันเป็นสติวินัย สติวินัยนะ มันไม่มีอาบัติ

สิ่งที่ว่าเป็นอาบัติๆ อาบัติเพราะเจตนา คนมีเจตนาทำผิดมันถึงเป็นอาบัติ แล้วจิตที่มันเป็นธรรมธาตุไปแล้วมันไม่มีเจตนาทำชั่ว ไม่มีสิ่งใดๆ เลยทั้งนั้น มันเป็นปาปมุติ ปาปมุติคือไม่มีโทษ สิ่งที่ไม่มีโทษจะทำจะดำรงชีวิตยังไงมันอยู่สุขสบายแล้ว ถ้าดำรงชีวิตปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วจะดำรงชีวิตยังไงให้เพื่อธาตุขันธ์เพื่อความพอดีของธาตุขันธ์ ความพอดีของธาตุขันธ์ เห็นไหม คนเราหิวน้ำ ดื่มน้ำแล้วเราก็สดชื่นใช่ไหม คนเราหิวกระหาย ถ้ามันทำให้พักผ่อนแล้วมันก็หายใช่ไหม สมกับธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ของคน ธาตุขันธ์ของคน เห็นไหม ดูสิบางคนกินจุก็กินมากหน่อย ธาตุขันธ์มันพอดีของเขา บางคนกินแต่น้อย กินแต่น้อยเขาก็อยู่ของเขาได้ อยู่ที่ธาตุขันธ์นะ

ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้วอยู่เพื่อวิหารธรรม ไม่มีสิ่งใดเป็นอาบัติเลย อยู่ด้วยความสุขแล้วล่ะ แต่ทำไมท่านยังเก็บเล็กผสมน้อย หลวงตาท่านพูดบ่อยว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านทำตัวเป็นแบบอย่าง อะไรผิดเล็กผิดน้อยท่านไม่ทำเลย ไม่ทำเพื่ออะไรล่ะ ไม่ทำเพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นแบบอย่าง เพื่อให้เราก้าวเดินตาม ให้เราก้าวเดินตาม เห็นไหม ท่านเสียสละๆ ไง เสียสละทั้งๆ ที่เวลาต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันแสนทุกข์แสนยาก ท่านทำมาจนสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว หัวใจมันวิมุตติแล้ว หัวใจมันมีความสุขตลอดเวลา หัวใจนี่ผ่องแผ้ว ไม่มีสิ่งใดเข้าไปให้ผลกับธรรมธาตุอันนั้นได้เลย และท่านยังทำเป็นแบบอย่าง

สิ่งที่เป็นแบบอย่างมันหาได้ยาก หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง คำสั่งคำสอนสอนแล้วสอนอีกปากเปียกปากแฉะ ฟังแล้วมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ถ้ามันหนึ่งตัวอย่าง ทำไมเขาทำได้ เห็นไหม เราถึงว่าเราบวชมาเป็น นี่พระสมณะสารูป เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วมันมีศีลมีธรรมมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เขาก็ว่าสิ่งนี้เป็นพระ แล้วเวลาเรามีสติมีปัญญานะ เราเตือนตัวเอง เราเป็นอะไร เราเป็นพระ เราเป็นพระนะ พระก็มาจากมนุษย์มาจากคนนั่นแหละ แต่เวลามาจากคนแล้วคนเขามีสิทธิเสรีภาพของเขาในทางโลกของเขา โดยที่ว่าถ้าไม่เบียดเบียนใครเขามีสิทธิทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นพระไม่ได้

ถ้าเป็นพระแล้วนะ สิทธิเสรีภาพของเรามี แต่เราไม่ใช้ เราไม่ใช้เพราะอะไร ไม่ใช้เพราะเราสละแล้ว เราสละฆราวาส สละความเป็นฆราวาสมาเป็นพระ เห็นไหม เราอยู่ใต้กฎหมายไทย แล้วยังอยู่ใต้ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสมณะสารูป การเคลื่อนการไหวการเหยียดการคู้ในเสขียวัตรเราทำเพื่ออะไรล่ะ ทำเพื่อศรัทธาไทย ศรัทธาไทยเขาผู้เห็น เห็นไหม ถ้าเขาเห็นสิ่งใดที่มันเชิดชู เห็นสิ่งใดแล้วมันงามตา เขาก็ชื่นใจ ถ้าเห็นสิ่งใดมันขัดหูขัดตา

“สมณะเป็นผู้สงบเสงี่ยม สมณะเป็นผู้ที่สละแล้วทำไมทำตัวอย่างนั้น ทำตัวอย่างนั้น”

นั้นเป็นกิริยาของโลก แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านเป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะท่านชำระล้างกิเลสในใจของท่านหมดแล้ว เวลาท่านแสดงธรรมมันเหมือนกับฟ้าผ่าเลย แล้วฟ้าผ่านี่ เห็นไหม คนเราถ้าไม่มีสติปัญญา

“โอย ทำไมพระอรหันต์ทำไมท่านมีอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น”

เขาไม่รู้หรอกว่านี่กระแสของธรรม กระแสของธรรมนะ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ถ้ากระแสธรรมถ้าไม่รุนแรง คำว่ารุนแรงๆ โดยธรรมนะ ไม่ใช่รุนแรงแบบโลก รุนแรงแบบโลก รุนแรงแบบ เห็นไหม ดูสิ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดศึกสงคราม ชนะศึกสงครามมากน้อยขนาดไหนก่อเวรก่อกรรม ถ้าเกิดสงครามระหว่างกิเลสกับธรรม เห็นไหม กิเลสในหัวใจนี่ เวลาเกิดสัจธรรมขึ้นมา เกิดสงครามระหว่างธาตุขันธ์ ระหว่างขันธ์ ๕ เห็นไหม ระหว่างขันธมาร สิ่งที่เป็นมารกับเกิดคุณธรรม เกิดศีล สมาธิ ปัญญาต่อสู้กัน ชนะตนเท่านั้น การชนะตนถือว่าเป็นการชนะที่ประเสริฐที่สุด การชนะสงครามคูณด้วยร้อยคูณด้วยพันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาแสดงธรรมขึ้นมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรม เห็นไหม เหมือนฟ้าผ่า ฟ้าผ่าแล้วมันชุ่มชื่น ฝนมันตก ฟ้าร้อง เห็นไหม ฝนตกชุ่มชื่นไปหมด ลูกศิษย์ลูกหามีแต่ความชื่นใจ ชื่นใจเพราะอะไร เพราะฟังธรรมอย่างนั้นกิเลสมันหมอบ เวลากิเลสมันหมอบนะ

แต่ถ้าเป็นทางโลก เห็นไหม “โอ้ เจริญพร... เจริญพร...” หลวงตาท่านบอกว่าขออนุญาตกิเลสก่อนไง เวลาจะเทศน์ก็กลัวกิเลสมันจะเจ็บไง จะเทศน์ไปก็กลัวจะขัดใจเขา จะเสียสมณะสารูป เป็นผู้ที่มีอารมณ์รุนแรง แล้วถ้าอารมณ์มันนิ่มนวลอารมณ์มันอ่อนหวาน นั่นกิเลสมันก็ตบหัวเล่น กิเลสมันก็ลูบๆ คลำๆ แต่ถ้ากิเลสมันแรงก็ต้องแรงตอบ แต่ถ้ามันละเอียดลึกซึ้ง เวลามันนุ่มนวล เห็นไหม ธรรมะมันก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ละเอียดสุด มันก็เป็นขั้นเป็นตอนของมันขึ้นไปเหมือนกัน

ถ้าเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป ขณะที่กิเลสมันหยาบๆ มันก็ต้องใช้สิ่งกิริยาที่หยาบๆ สู้กัน สู้กัน เห็นไหม สู้กันๆ มาจากไหน สู้กันมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สู้กันมาจากใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำของท่านมา เห็นไหม ทำมา ท่านทำของท่านมา เพราะทำมาท่านถึงวางข้อวัตร วางข้อวัตรที่เราจะไม่ต้องไปแสวงหามาจากไหนเลย ถ้าเราทำตามนั้นๆ ทำตามนั้นกิเลสมันไม่พอใจอยู่แล้ว ดูสิ ทำสิ่งใดแล้วมันก็อยากสะดวก อยากสบาย อยากจะอิสระ คำว่าอิสระ อิสระของใคร สิทธิเสรีภาพๆ เวลาไม่พอใจจะฟ้องยูเอ็น บอกว่าสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของการนับถือศาสนา

ก็เอ็งปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธมามกะ เอ็งปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธ ถ้าปฏิญาณตนขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติไว้ ถ้าเอ็งปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธ เอ็งก็ต้องยอมรับสิ ถ้าเอ็งปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธแล้วเอ็งไม่ยอมรับสัจธรรม เอ็งก็บอกว่าเราเป็นชาวพุทธแต่ก็นับถือแต่พระพุทธ เราเป็นพระสงฆ์เราก็พอใจแล้ว พระธรรมไม่เอา พระธรรมก็ธรรมวินัยไง พระธรรมวินัยบังคับขึ้นมาก็ไปฟ้องยูเอ็น แล้วยูเอ็นมันมีสิทธิอะไรมาตัดสินในเรื่องศาสนา ยูเอ็นมันมีสิทธิอะไรเขาจะเข้ามาตัดสินในความถูกความผิดที่เรากระทำล่ะ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเราทำผิดก็เป็นความผิดของเรานั่นแหละ ถ้ามันเป็นความผิดมันก็เป็นความเศร้าหมองในใจนั่น แล้วเราก็ทิฏฐิมานะของเราไป แต่ถ้าเวลามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านขึ้นมา ท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์ ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเวลาเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นไป แม้แต่เวลาเราถอนสังโยชน์ ชำระสังโยชน์ไป ๓ ตัว เห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส โอ้โฮ มันก็ซาบซึ้งแล้ว มันซาบซึ้งนะ มันจะอยู่ในร่องในรอยเพราะอะไร

เพราะเราทำมามันแสนทุกข์แสนยาก แล้วพอมันได้ขึ้นมาแล้วเราอยากได้ต่อเนื่อง มรรค ๔ ผล ๔ เราได้แค่เริ่มต้น เห็นไหม แค่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล พอโสดาปัตติผล โสดาปัตติผลแล้วใครเป็นคนบอกล่ะ ใครเป็นคนประกันว่าเป็นโสดาปัตติมรรค ใครเป็นคนประกันว่าเป็นโสดาปัตติผล มีใครมารับประกัน มีบริษัทวูดดี้ไหนมันมาประกันด้วยว่าเอ็งเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันสันทิฏฐิโก มันปัจจัตตัง เพราะอะไร เพราะคนเรามันผิดมาก่อน เวลามันล้มลุกคลุกคลาน มันผิดพลาดมาทำอะไรแล้วมือเปล่า ทำอะไรมาแล้วไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเลย ทำอะไรมาแล้วสูญเปล่าๆ สูญเปล่าทั้งนั้นเลย แล้วมันเป็นสมาธิขึ้นมามันมีความสุข มันสูญเปล่าที่ไหน จิตมันเป็น แล้วถ้ามันออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันใช้ปัญญาไม่เป็นมันก็ยังก้าวเดินไม่เป็น

ถ้าก้าวเดินไม่เป็น ถ้าคนเวลาเทศน์ไม่มีภาวนามยปัญญา พูดถึงภาวนามยปัญญาไม่เป็นคือเขาไม่เคยเห็น คนไม่เคยเห็นภาวนามยปัญญาจะไม่รู้หรอกว่าภาวนามยปัญญาเป็นยังไง สุตมยปัญยา จินตมยปัญญาก็มีเท่านั้นล่ะ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ก็จินตนาการกันไป เห็นไหม จินตนาการจนข้ามนิพพานไปนะ ถ้านิพพานไปแล้วยังมีสุขาวดีสูงกว่านิพพานอีก นิพพานยังมีชนชั้น นิพพานยังมีแบ่งแยก นั่นน่ะเวลาจินตนาการมันไปขนาดนั้น

แต่ถ้ามันเป็นความจริงใครจะต้องมาการันตี ความจริงนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบไว้สันทิฏฐิโก รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง ถ้ารู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงมันต้องรู้ต้องเห็น ถ้ารู้เห็น ผู้รู้เห็นเท่านั้นเขาจะพูดกันได้ แต่ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริงเขาก็ว่าเป็นจริงเหมือนกัน จริงของใคร? จริงของกิเลสมันล่อลวงไง สิ่งที่เราทำมามันให้ผลกับการประพฤติปฏิบัตินะ สิ่งที่เราจะประพฤติปฏิบัติมันจะสะดวก ปฏิบัติแล้วมันจะทำได้หรือทำไม่ได้ อันนี้มันเป็นเวรเป็นกรรม

เวลาพระองคุลีมาลเวลาที่อยากได้วิชาการฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาบวชเป็นพระอรหันต์ บวชจนเป็นพระอรหันต์นะ พระองคุลีมาลเวลาไปบิณฑบาตกับชาวบ้าน เขาจะยิงนก เขาจะทำมีสิ่งใด หินก้อนนั้นจะไปโดนศีรษะของพระองคุลีมาล องคุลีมาลไปบิณฑบาตกลับมาทีไรนะได้เลือดมาทุกวันเลย พระอรหันต์นะ แล้วน้อยใจนะ น้อยใจไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ข้าพเจ้าออกไปบิณฑบาตมา มันได้แต่บาดแผลมา” ได้อาหารมาด้วย ได้บาดแผลมาด้วย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระองคุลีมาล “องคุลีมาล เธอฆ่าเขาถึงชีวิตนะ ไอ้นี่มันแค่เลือดตกยางออกเท่านั้น” ได้สติ ความน้อยเนื้อต่ำใจมันก็หายไป เห็นไหม โอ เราทำมา ฆ่าเขามา ๙๙๙ ศพ ฆ่าเขามานะ ฆ่าเขาถึงกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเพราะมีอำนาจวาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรด ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปโปรด ถ้าลองได้ฆ่ามารดาแล้วจบ ถ้าลองได้ฆ่าบิดามารดาจบเลย มันไม่มีโอกาสจะได้บรรลุธรรมอีกเลย

ดูสิ อชาตศัตรูด้วยความเชื่อพระเทวทัตอยากได้อำนาจ เวลาหลงไปกับเขา พอไปทำร้ายพ่อ กักขังไว้ ไม่ถึงกับฆ่า แต่เวลาลูก เห็นไหม ลูกกำลังจะเกิด เวลาทหารมันจะมาบอก มาถึงมาเจอกันพอดี จะมาบอกว่าพ่อตายกับลูกเกิด แล้วตกลงกันว่าใครจะบอกก่อน ก็ให้บอกลูกบอกก่อน ให้ทหารบอกว่าไปแจ้งข่าวว่าลูกเกิดก่อน พอคำว่าลูกเกิดแล้ว ได้ลูกชาย โอ้โฮ มันมีความรักมีความผูกพัน พอมีความรักมีความผูกพันมันก็คิด เห็นไหม พ่อเราก็จะรักเราอย่างนี้ คิดได้ คิดได้ก็จะสั่งให้ปล่อยพ่อ เพราะเอาพ่อไปขังไว้ ทหารเข้ามาบอกว่า พ่อตายแล้ว พ่อตายแล้ว นั่นน่ะ แล้วพอสุดท้ายมามีความทุกข์มาก มีความทุกข์มาก

หมอชีวกฯ เป็นคนพาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาระลึกได้แล้วเสียใจมาก ทุกข์มาก ทุกข์มาก ใครๆ ก็พาไปหาอาจารย์ตนเพราะว่ามหาดเล็กมันมีเยอะ มีหลายฝักหลายฝ่าย ก็พาไปหาคนนู้นไปหาคนนี้มันก็ไม่ได้เรื่อง คือบรรเทาทุกข์ในใจไม่ได้ หมอชีวกฯ พาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ หมอชีวกฯ พาไป พอหมอชีวกฯ พาไป ไปกลางคืน คิดขึ้นมาว่าหมอชีวกฯ จะล่อมาฆ่าหรือเปล่า จะทำร้ายหมอชีวกฯ นะ จนหมอชีวก จุ๊ จุ๊ จุ๊ นั่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเดินจงกรมอยู่เห็นไหมนั่น นี่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทศน์ให้ฟังปลอบประโลมหัวใจ ให้หัวใจที่ทุกข์ยากนี่ระลึก ระลึกถึงนี่ผ่อนคลายความทุกข์ได้ “สิ่งนั้นมันเป็นอดีตมาแล้ว ในปัจจุบันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เราพยายามสร้างคุณงามความดีขึ้นมา” นี่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วลงใจ ลงใจนะ รักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ทำยังไงก็ทำทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ฆ่าพ่อมานะ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน อชาตศัตรู แต่ได้ทำลายฆ่าพ่อมาก่อน

แต่พระองคุลีมาลยังไม่ได้ทำลาย ยังไม่ถึงกับตาลยอดด้วน ยังไม่ถึงกับตัดโอกาสของตัว สิ่งที่ทำๆ นี่เราทำมาทั้งนั้น เวลาออกไปบิณฑบาตได้แผลกลับมาๆ นะ นี่เวลาไปบิณฑบาต ถ้าไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระองคุลีมาล เขาก็ใส่บาตรด้วยความชื่นใจของเขา แต่ถ้ารู้ว่าองคุลีมาล เขาตกใจ เขาวิ่งหนีกันหมดเพราะอะไร? เพราะว่ามันร่ำลือ มันร่ำลือขนาดนั้นนะ มันร่ำลือ เห็นไหม ทำมา ทำมา ฉะนั้น ใครทำสิ่งใดมา มันจะได้ผลสิ่งนั้นมา

เรามาบวชเป็นพระ แล้วเราจะมาประพฤติปฏิบัติ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำมามันเป็นจริตเป็นนิสัยของเรา เป็นความคิดนี่แหละ เป็นความคิด เป็นมุมมอง เป็นความเห็นของเรา มันเป็นมุมมองไง มันจริตนิสัย ฉะนั้น เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะต้องเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวตั้ง เอาเป็นตัวตั้ง แล้วพยายามปรับปรุงตัวเองเข้าสู่สัจธรรม ไม่ใช่ว่าพยายามจะเอาธรรมะมาเป็นความเห็นของเรา จะเอาธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น จะเอาธรรมะมาเสริมทิฏฐิมานะของเราอีกด้วยนะ

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราเป็นใคร ถ้าเราไม่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เกิดมาเป็นชาวพุทธนะ ดูสิ ในพระพุทธศาสนา ในประเพณีวัฒนธรรมของเรา มันมีความระลึกถึงกัน มีความมีน้ำใจต่อกัน เราเกิดมา เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธ มันก็เป็นความอบอุ่นแล้วล่ะ แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญาเราจะเข้าถึงสัจธรรม เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา

เข้าสู่ธรรมสิ ไม่ใช่บังคับให้ธรรมมาเข้าสู่ความคิดของเรา ไม่ใช่มาบังคับธรรมว่าจะเป็นความพอใจของเรา ถ้ามันบังคับธรรมให้เป็นความพอใจของเราแล้วทำไมเราทุกข์อย่างนี้ ทำไมเราปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลตามความที่เราพอใจล่ะ มันไม่ได้ผลตามความพอใจเพราะว่ามันกิเลสออกหน้าไง

ถ้าเวลาปฏิบัติต้องมีสติ ยับยั้งกิเลสมันก่อนไง นี่มีสติยับยั้งกิเลสไว้ ยับยั้งมันๆ เพราะว่ามันเป็นเจ้าวัฏจักร มันแสดงตัวจนมันเคยตัวมันแล้วล่ะ มันถือว่ามันมีอำนาจ มันแสดงตัวมันตลอดเวลา แล้วเวลาทำสิ่งใดมันก็ว่ามันเป็นใหญ่ มันเป็นใหญ่ เป็นใหญ่เพราะอะไร? เพราะศึกษาสิ่งใดไปคิดสิ่งใดเอาแต่มุมมองของตัวไง มุมมองของคนอื่นล่ะ สังคมมันตกผลึกมาขนาดไหน เขาได้ทำกันมาขนาดไหน แล้วนี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมามันกี่ชั่วอายุคน แล้วกี่ชั่วอายุคนก็มาบวชเป็นพระ แล้วทำประโยชน์อะไรกับตัวเองบ้าง

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาบวชเป็นพระเหมือนกัน แต่บวชเป็นพระท่านขวนขวายของท่าน ขวนขวายนะ ใช้สติใช้ปัญญา เพราะมีสติมีปัญญามันจะเลือกเฟ้น เลือกเฟ้นอะไรผิดอะไรถูก ถ้าสิ่งใดผิด วางไว้ เพราะสังคม ปัญหาสังคมมันไม่มีวันจบสิ้น ถ้าปัญหาสังคม เราวางไว้ เราเอาความจริง เราจะเอาความจริง ถ้ามันเป็นศีล ศีลมันเสมอกัน เห็นไหม ความเห็นแตกต่างกัน ถ้าเราคุยกันไม่รู้เรื่อง เราคุยกันแล้วไม่เข้าใจ วางไว้ นี่ให้กาลเวลามันพิสูจน์กัน

ถ้ามันศีลของเรา เห็นไหม ถ้าศีลของเรามันปกติขึ้นมา เราจะทำสมาธิของเรา ทำสมาธิคืออะไร? ทำสมาธิคือทำความสงบใจ ถ้าใจมันสงบอยู่ที่ไหนมันก็สงบ อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข ถ้าจิตใจมันดิ้นรน มันอยู่ที่ไหนก็มีความทุกข์ อยู่ในห้องแอร์ ไปอยู่ในที่อากาศปรอดโปร่ง มันร้อนทั้งนั้น มันร้อนเพราะอะไร?

มันร้อนเพราะใจมันร้อน ถ้ามันร้อนเพราะใจมันร้อน เราเห็นอยู่แล้วเวลากิเลสมันแสดงตัวขึ้นมา มันเร่าร้อนขนาดนี้มันทำให้เราฟุ้งซ่านให้เรามีทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วเราก็ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เราก็เป็นพระ เป็นสมณะ สมณะทำไมมันไม่ร่มเย็นเป็นสุขล่ะ มันไม่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะสิ่งนี้มันเป็นสุตมยปัญญา มันเป็นการศึกษามา มันเป็นของยืม มันไม่ได้เป็นของของเรา

แก้วน้ำไม่มีน้ำสักหยดหนึ่งมันมีแต่ความแห้งแล้ง ดูสิ ดินถ้ามันไม่มีน้ำมันแตกระแหงทั้งนั้น ถ้าดินมันชุ่มน้ำดินมันจะอุดมสมบูรณ์ จิตใจของเรามันแห้งแล้ง แห้งแล้งเพราะอะไร? แห้งแล้งมันเกิดทิฏฐิมานะ เกิดความอหังการถือตัวไง แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ นี่เห็นไหม ฝนตกแดดออกขึ้นมา ฝนตกขึ้นมานี่มันมีความชุ่มชื่น แดดออกมันปรับปรุงให้มันระเหยขึ้นไป ใบไม้มันตกสู่ดินๆ มันตกสู่แผ่นดิน มันหมัก มันเป็นปุ๋ยขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราพุทโธของเรา เราใช้สติปัญญาของเรา เราทำสมาธิของเรา เราก็ทำเพราะเหตุนี้ไง ถ้าทำเพราะเหตุนี้ขึ้นมา เห็นไหม ดินชุ่มน้ำ ดินที่มันสมควรที่มันจะปลูกพืชต่างๆ มันก็เป็นประโยชน์กับมัน ดินที่แห้งแล้ง เห็นไหม แห้งแล้งปลูกสิ่งใดก็ปลูกไม่ขึ้น นี่ไง แห้งแล้งแล้วจะเอาความทุกข์มาใส่ตัวอีก แห้งแล้งมันมีแต่ความทุกข์ระทมไง ปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่ได้ ปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่ดี

ปฏิบัติเพื่อปฏิบัติ ทำดีเพื่อดี ไม่ได้ทำดีเพื่อใคร ไม่ได้ทำดีเพื่อวัดค่า ทำดีเพื่อเป็นความดี ดินมันชุ่มน้ำ เวลาต้นไม้มันเกิดขึ้นมา ใบไม้มันร่วงลงมาต่างๆ มันสะสม มันพอกพูนขึ้นมา มันทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน จิตเรามันแห้งแล้ง เราทำสมาธิของเรา ก็มันแห้งแล้งจะเอาสมาธิยังไง เอามาจากไหน

แหล่งน้ำมันมีไง ถึงเวลานะ ถึงเวลาคนมีบุญมาเกิด ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เรามีความเข้มแข็งของเรา เราฝืนมัน เราฝืน เวลาพุทโธครั้งแรกๆ เห็นไหม พุทโธก็ไม่ได้ พุทโธนี่เวลาก่อนจะทำ โอ๋ พุทโธเราก็ทำได้เนาะ แหม พุทโธ ๒ คำ ใครมันจะบริกรรมไม่ได้ เราก็ต้องบริกรรมได้ทั้งนั้น

นี่เวลามันคิดไง ยังไม่ได้ทำ เวลาพอมันจะมาทำ เห็นไหม ดินมันแห้งแล้ง ฝนไม่มีเลย มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ติเตียนอำนาจวาสนาของตัว แต่ถ้าเราทำของเราด้วยความเต็มใจของเรานะ เราก็พุทโธ พุทโธแล้ว มันจะเดือดร้อน มันจะตึงเครียดขนาดไหน เราพุทโธของเราไป ถ้ามันยังพุทโธไม่ได้ เราท่อง เห็นไหม เราลุกขึ้นเดิน เราลุกขึ้นนั่ง มันทำได้ทั้งนั้น มันต้องมีอุบายไง เวลากิเลสมันหลอกเรา เชื่อมันไปหมดเลย

เวลาเราจะปฏิบัติธรรมขึ้นมาเราไม่มีกำลังเลย เราสู้มันไม่ได้เลย เราไม่สามารถจะยืน ตัวเองขึ้นมาได้เลย ทำไมมันอ่อนแออย่างนั้น ถ้ามันอ่อนแออย่างนั้น ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ เวลาคนทุกข์คนยากนะ คนทุกข์คนยากเวลามันทุกข์ยากขนาดไหน เห็นไหม ถ้าคนที่เขามีความเข้มแข็งของเขา เขาทนของเขา เขาแก้ไขปัญหาของเขา

สมัยโบราณนะ เวลาเรือสำเภาเข้ามานะ ไม้คานคันเดียวนี่หาบขายหาบเป็นหาบเร่แผงลอย เขาทำขึ้นมาจนเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เขาทำขึ้นมาได้เพราะอะไรล่ะ เพราะทำขึ้นมาด้วยความเพียรของเขา ความวิริยะอุตสาหะของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะทำพุทโธๆๆ ต่อเนื่องกันไป เห็นไหม ใบไม้แต่ละใบมันตกมามันซับซ้อนขึ้นมา จากที่มันแห้งแล้งๆ ขึ้นมา ใบไม้มันตกลงมานี่มันซับซ้อนขึ้นมา เดี๋ยวมันเน่ามันอะไรขึ้นมา มันก็ทำให้แผ่นดินมันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้ นี่ไงพุทโธๆ ของเราต่อเนื่องไปต่อเนื่องไป มันต้องสงบเข้ามาได้ พอมันสงบเข้ามา เห็นไหม นี่สิ่งที่ว่าเราทำไม่ได้ก็ทำได้ละ นี่เราทำได้

เราทำมา เราทำมาตั้งแต่อดีต เราสร้างบุญกุศลมาตั้งแต่อดีต การเวียนว่ายตายเกิดมันได้สร้างสมบุญมา ถ้าไม่ได้สร้างสมบุญมาไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นภพชาติที่สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเล็นเป็นไร เห็นไหม ดูสิ พระที่ตัดจีวร อยากได้จีวรแล้วเป็นโรคท้องร่วงตายเสียก่อน ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้าจีวร ทำไมไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎก มนุษย์นี่พระด้วยไปเกิดเป็นเล็น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลของเรามา เราจะมาเกิดเป็นมนุษย์ไหม เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วนี่เรามีสติมีปัญญา อย่างน้อยก็ให้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ เห็นไหม ไม่ให้ไปเกิดเป็นเล็นนั่นน่ะ แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรายังไม่ได้ เราปฏิบัติของเราสะสมให้เป็นมนุษย์ต่อเนื่องๆ เราปฏิบัติของเราให้ได้ ทำของเราให้ได้ สะสมให้ได้ นี่มันจะซับสม ใบไม้มันจะทับลงไปที่ดินที่แห้งแล้งนั้น มันจะชุ่มชื่นขึ้นมา นี้พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิด

แต่เอาปัจจุบันนี้ล่ะ ปัจจุบันนี้ทำให้ได้ ถ้าเราทำได้ๆ ทำไมจะทำไม่ได้ นี่ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ถ้ามันพุทโธๆ จนจิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีหรอก พอจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม เรามีแก่ใจ เวลามีแก่ใจนะ เราทำมา คนเราทำมา เห็นไหม ขาดตกบกพร่อง

พระสมัยพุทธกาลที่ว่าเป็นพระอรหันต์ไม่เคยฉันข้าวอิ่มซักมื้อหนึ่ง ไอ้คำว่าไม่เคยฉันข้าวอิ่มซักมื้อหนึ่งมันสะเทือนใจนะ ชอบพูดมาก ชอบพูดมากว่านี่เขาไม่เคยฉันข้าวอิ่มแม้แต่มื้อเดียว แต่ทำไมเขาปฏิบัติได้ ทำไมเขาขวนขวายได้ จนร่ำลือไปในวงของศาสนา จนพระสารีบุตรต้องไปเยี่ยม ต้องไปดูว่ามันจริงหรือเปล่า เพราะพระสารีบุตรท่านไม่เคยพบอย่างนั้น เห็นไหม เพราะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านก็สร้างของท่านมา พระสีวลีท่านก็สร้างของท่านมา นี่ทำมา

เราทำมาแล้ว เราอย่าไปเทียบเคียงกับอำนาจวาสนาบารมีของใคร เราเทียบเคียงกับอำนาจวาสนาบารมีของเรา แล้วเรารักษาใจของเราให้มั่นคง อย่าให้หวั่นไหว อย่าให้หวั่นไหวออกนอกลู่นอกทาง เอาวาสนาของเรานี่แหละ เอาความเห็นของเรานี่แหละ แล้วเทียบเคียงกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราอยากปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” แล้วเราปฏิบัตินี่มันไม่มีมรรคไม่มีผล คือไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ในใจของเรา มันไม่มีมรรค ไม่มีมรรคขึ้นมานี่แล้วมันจะหล่อเลี้ยงหัวใจเรายังไง เห็นไหม เราทำมาๆ จนเรามีจริตมีนิสัยมีความเห็นอย่างนี้แล้ว นี่ตอนนี้เราจะดัดแปลง ดัดแปลงไง ดัดแปลงเราเข้าสู่ธรรม ต้องดัดแปลงเราเข้าสู่ธรรม ไม่ใช่คิดว่าธรรมจะเข้าสู่เรา ถ้าธรรมเข้าสู่เรานี่เราจะเกิดทิฏฐิมานะของเราอยู่อย่างนี้ แล้วปฏิบัติให้มันเป็นความจริงให้เป็นธรรมขึ้นมา แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง

มันจะเป็นไปได้ต่อเมื่อเวลาจะถ่าย เห็นไหม เราต้องไปหาส้วม ไม่ใช่ว่าส้วมต้องมาหาเรา เราทำมาทำมานี่เราทำด้วยทิฏฐิมานะ ทำด้วยความเห็นของเรา เราแก้ไขเรา เราพยายามปฏิบัติของเรา ถ้ามันแก้ไข เห็นไหม นี่ปรับปรุง แก้ไขให้เป็นความจริง สิ่งที่ทำมา คำว่า “ทำมา” เราทำของเรามาเอง ทำมาเองแล้วในปัจจุบันนี้เรายังมีสติมีปัญญา จะพัฒนา จะทำให้ดีขึ้นๆๆ

ถ้าเราทำของเราได้ นี่สิ่งนี้ เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอริยวินัย อริยวินัยนะ มันมีประเพณี อริยประเพณี อริยประเพณีประเพณีของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าท่านทำตัวอย่างไร เห็นไหม อริยวินัย ผู้ที่ทำความผิด ทำความผิดแล้วแก้ไขๆ ขึ้นไปนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชมมาก ชื่นชมว่า เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลส สอนพวกเราให้ประพฤติปฏิบัติให้ทำคุณงามความดี คุณงามความดีไม่ใช่เพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้น เพื่อหัวใจดวงนี้! เพื่อหัวใจดวงนี้!

ถ้าหัวใจดวงนี้ทำได้แล้วนะ หัวใจดวงนี้ทำได้นะ นี่ผลประโยชน์ของเรา เพราะจิตนี้จะเวียนว่ายตายเกิด เพราะจิตนี้จะประพฤติปฏิบัติ จะถอนสังโยชน์ จะถอนกามราคะ จะถอนอวิชชาออกจากจิต ถ้ามันถอนออกจากจิตทั้งหมด สิ่งใดมันจะเวียนว่ายตายเกิดล่ะ เราทำของเราทั้งนั้น เราทำมานี่คือปฏิบัติมาทำสร้างสมมาเป็นบุญญาธิการ

ในปัจจุบันนี้เราจะทำของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ให้มีมรรค ๔ ผล ๔ มีมรรค ๔ ผล ๔ มันไม่มีจากข้างนอกหรอก มรรค ๔ ผล ๔ มันเกิดจากหัวใจ เกิดจากปัญญาญาณ ปัญญาญาณที่อยู่ในหัวใจ แล้วมันชำระสะสางขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับคนคนนั้น เพื่อประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัตินั้น เห็นไหม เราทำมาแล้วมันถึงได้สถานะนี้มา ไม่มีใครสูงไม่มีใครต่ำกว่าใคร

นี่ลงอุโบสถศีล ๒๒๗ เสมอกัน เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสด้วยกัน เราเป็นพระด้วยกัน เราถึงลงสังฆกรรมกันได้ แต่ถ้าพระไม่เสมอกัน เห็นไหม เขาต้องแยกออกจากสังฆกรรม แยกออกจากนอกวง ฉะนั้น เราจึงเสมอกันด้วยคุณธรรม เราเสมอกันด้วยศีล เราเสมอกันด้วยเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเสมอกัน เราถึงเสมอกัน ไม่มีใครสูงไม่มีใครต่ำกว่าใคร เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอกัน

ฉะนั้น เราไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจกับใครทั้งสิ้น อำนาจวาสนานั้นเป็นเรื่องของเขา แต่เราจะทำจริงของเราขึ้นมา มันจะมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจของเรา เอวัง